Page 28 - การค้าชายแดนไทย-ลาว ภายใต้ร่มเงาของเงินบาท
P. 28
จตุรงค์ บุนนาค
และเงินตู้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเงินฮาง แต่สันเรียบไม่มีขอบดังเช่นเงินฮาง (ธนาคารแห่ง
สปป.ลาว, 2556) เงินพดด้วงที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนี้ ได้ก าหนดค่าของเงินตาม
น้ าหนักของเนื้อโลหะเงิน เช่น 1 ชั่งเท่ากับ 20 ต าลึง 1 ต าลึงเท่ากับ 4 บาท 1 บาท
เท่ากับ 4 สลึง 1 สลึงเท่ากับ 2 เฟื้อง 1 เฟื้องเท่ากับ 4 ไพ 1 ไพเท่ากับ 2 กล่ า 1 กล่ า
เท่ากับ 1 กล่อม และ 1 กล่อมเท่ากับ 50 เบี้ย โดยเงินพดด้วงจะมีตราประจ ารัชกาลที่
ผลิตเงินพดด้วงนั้น และเงินดังกล่าวนี้ใช้เรื่อยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และ
รัตนโกสินทร์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2447 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง ให้ใช้ เงินกระดาษ
หลวง และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2445 ซึ่งมี 5 ชนิดราคา ได้แก่ 5
บาท 10 บาท 20 บาท 100 บาท และ 1,000 บาท ควบคู่กับเงินเหรียญ ซึ่งผลิตจาก
โลหะดีบุก หรือทองแดง หรือทองเหลือง ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2405 ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยก าหนดค่าของเงินขึ้นมาดังนี้ 1
ชั่งเท่ากับ 20 ต าลึง 1 ต าลึงเท่ากับ 4 บาท 1 บาทเท่ากับ 4 สลึง 1 สลึงเท่ากับ 2
เฟื้อง 1 เฟื้องเท่ากับ 2 ซีก 1 ซีกเท่ากับ 2 เสี้ยว 1 เสี้ยวเท่ากับ 2 อัฐ 1 อัฐเท่ากับ 2
โสฬส และ 1 โสฬสเท่ากับ 50 เบี้ย นอกจากโลหะมีค่าที่น ามาใช้เป็นสื่อกลางในการ
ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว ยังมี เงินเบี้ย (Cowrie Shells) ซึ่งเป็นหอยน้ าเค็มที่
น ามาใช้แทนเงินตราราคาต่ าสุด เบี้ยเหล่านี้พ่อค้าชาวต่างชาติน ามาจากหมู่เกาะ
มัลดีฟ ประเทศอินเดีย และเกาะตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เบี้ยหอยนี้มีมูลค่าไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับปริมาณในตลาดจึงไม่เป็นที่นิยม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2405 จึงได้มีการผลิต
เหรียญโลหะ จึงท าให้บทบาทของเงินเบี้ยลดลงและหายไปจากการค้าในที่สุด
นอกจากนี้แล้วยังมี เงินปี้ (Gambling Tokens) เป็นเครื่องหมายใช้แทนเงินตราใน
บ่อนการพนัน เพราะเกิดจากการขาดแคลนเงินเหรียญทองแดงและดีบุก ช่วง
การค้าชายแดนไทย-ลาว ภายใต้ร่มเงาของเงินบาท 17